บทที่ 1 ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

          อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มนุษญ์สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และทำงานเกี่ยวกับข้อมูลที่มีควมซับซ้อน

  • คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ก – ช่วยคำนวณ จัดเก็บข้อมูลและค้นหาข้อมูลได้ง่าย และรวดเร็ว
  • สมาร์ททีวี – รับชมข่าวสารได้กว้างขวางมากขึ้น รวมไปถึงเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้
  • GPS – ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก และใช้ในการนำทาง สะดวกต่อการเดินทาง
  • เครื่องคิดเงิน – ช่วยคำนวณราคาสินค้า และจ่ายเงินได้สะดวกรวดเร็ว
  • หุ่นยนต์ – ช่วยทำงานบางอย่างแทนมนุษย์
  • โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต – ช่วยให้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันนำมาใช้คล้ายคอมพิวเตอร์ และพกพาสะดวก
  • โดรน – เครื่องบินเล็กไร้คนขับ นิยมใช้ในการถ่ายภาพ วิดีโอ และถ่ายทอดสดในมุมสูง
  • กล้องดิจิทัล – ช่วยถ่ายภาพ และบันทึกข้อมูลรูปภาพ
  • สมาร์ทวอทช์ – นาฬิกาอัจฉริยะ ทำได้ทั้งเป็นโทรศัพท์  คิดเลข ระบบนำทาง วัดการเต้นของหัวใจ รีโมทควบคุมเพลง ถ่ายรูป โดยใช้คู่กับโทรศัพท์มือถือเชื่อมต่อผ่าน Blurtooth
การใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

          คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ และประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก ทำงานแทนมนุษย์ในเวลาอันรวดเร็ว คอมพิวเตอร์รับข้อมูลจากมนุษย์เป็นผู้สั่งงาน จากนั้นนำข้อมูลมาคำนวณให้ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างถูกต้อง และรวดเร็วกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
  • เมาส์ (MOUSE) – ใช้เลื่อนและคลิกเพื่อสั่งงานบนจอภาพ
  • คีย์บอร์ด (KEYBOARD) – ใช้พิมพ์ตัวอักษร และตัวเลข
  • จอภาพ (MONITOR) – ใช้แสดงรูปภาพ ตัวอักษร และสัญลักษณ์
  • เคส (CASE) – กล่องที่เก็บอุปกรณ์สำคัญๆ เช่น CPU, หน่วยความจำ
  • ซีพียู (CPU) – คิดคำนวณ ประมวลผล
  • ลำโพง (SPEAKER) / หูฟัง (HEADPHONE) – แสดงออกเป็นเสียงและเพลง
  • เครื่องพิมพ์ (PRINTER) – พิมพ์ข้อมูล รูปภาพลงบนกระดาษ
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
  1. ด้านการเขียนและค้นหาข้อมูล
  2. ด้านศิลปะ
  3. ด้านเขียนเอกสาร
  4. ด้านการสื่อสาร
  5. ด้านความบันเทิง
การใช้เมาส์

          เมาส์ (Mouse) คือ อุปกรณ์รับข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์ ควบคุมการชี้ตำแน่งต่างๆ บนจอภาพ

  • ท่าจับเมาส์ : วางนิ้วชี้ที่ปุ่มซ้ายและนิ้วกลางวางที่ปุ่มขวา ส่วนนิ้วอื่นๆ ประคองเมาส์เอาไว้ในอุ้งมือ
  • คลิก (CLICK) : กดปุ่มซ้าย 1 ครั้ง เพื่อเลือกคำสั่ง
  • ดับเบิลคลิก (DOUBLE CLICK) : กดปุ่มซ้าย 2 ครั้งติดกันอย่างรวดเร็วเพื่อเรียกใช้โปรแกรม
  • ลากแล้วปล่อย (DRAG AND DROP) : กดปุ่มซ้ายค้างไว้แล้วลากไปตำแหน่งใหม่ แล้วปล่อยเมาส์ เป็นการย้ายวัตถุบนจอภาพ

ข้อควรระวัง : ควรกดเมาส์เบา ๆ อย่าทำเมาส์ตกหล่น และไม่ควรแกะเมาส์

การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
  1. กดปุ่มเพาเวอร์ ที่เคสจะมีไฟติด
  2. กดปุ่มเปิดจอภาพ
  3. กดปุ่มเปิดลำโพง
  4. รอจนรูปภาพพื้นหลังใช้งานได้

ข้อควรระวัง : อย่าลืมเสียบปลั๊กไฟก่อนกดเปิดเครื่อง

การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
  1. คลิกปุ่ม START บนทาสก์บาร์
  2. คลิก Power (เพาเวอร์)
  3. คลิก Shutdown
  4. (ชัตดาวน์)
  5. กดปุ่มปิดจอภาพกดปุ่มปิดลำโพง

ข้อควรระวัง : ควรปิดโปรแกรมและแอพพลิเคชั่นก่อนปิดเครื่อง

          อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้ การทำงาน และการสื่อสารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้เราสร้างสรรค์ และเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีควรทำอย่างรับผิดชอบ รู้วิธีดูแลอุปกรณ์ให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหา และยืดอายุการใช้งาน พร้อมทั้งรักษาสมดุลกับชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพ และความสัมพันธ์ที่ดีของตัวเราเอง

บทที่ 2 การใช้งานซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลเบื้องต้น

          ระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่

  1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและจับต้องได้ เช่น ตัวเครื่อง, จอภาพ, คีย์บอร์ด, และเมาส์ ฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำงานได้ ต้องมีซอฟต์แวร์เป็นตัวสั่งงาน
  2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
    ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) : ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เช่น ระบบปฏิบัติการ (Operating System) อย่าง Windows หรือ macOS
    ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) : โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรม Word สำหรับพิมพ์เอกสาร, โปรแกรม Excel สำหรับคำนวณ หรือโปรแกรม Photoshop สำหรับแต่งภาพ
  3. บุคลากร (Peopleware) คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไป, ผู้ดูแลระบบ, หรือนักเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้หากไม่มีมนุษย์เป็นผู้สั่งการหรือป้อนข้อมูล
ระบบปฏิบัติการ

          ซอร์ฟแวร์ที่สำคัญที่สุดในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์เรียกว่า ระบบปฏิบัติการ ซึ่งต้องติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน คือ ไมโครซอร์ฟวินโดวส์ (Microsoft Windows)

ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการวินโดวส์

  1. Desktop (เดสก์ทอป) – พื้นที่หลักบนหน้าจอสำหรับจัดเก็บไอคอน โปรแกรม และโฟลเดอร์ต่าง ๆ
  2. Taskbar (แถบงาน) – แถบด้านล่างหน้าจอสำหรับเข้าถึงปุ่ม Start และแอปที่เปิดใช้งานอยู่
  3. Start Menu (เมนูเริ่ม) – กดเพื่อเปิดโปรแกรมหรือเข้าถึงการตั้งค่าต่าง ๆ
  4. Icon (ไอคอน) – รูปแทนไฟล์ โปรแกรม หรือโฟลเดอร์บนเดสก์ทอปหรือใน File Explorer
การจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์

          แฟ้มข้อมูลหรือไฟล์ (file) คือ กลุ่มข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์เก็บไว้ในอุปกรณ์จัดเก็บ เช่น ฮาร์ดดิสก์, SSD, USB ฯลฯ โดยมีชื่อไฟล์เพื่อระบุตัวและจัดเก็บข้อมูลได้ตามหมวดหมู่ต่าง ๆ สามารถเก็บข้อมูลหลากหลายประเภท ทั้งข้อความ, รูปภาพ, เพลง, วิดีโอ หรือซอฟต์แวร์ เช่น

  • ไฟล์ข้อความ (Document / Text) เช่น .txt, .docx, .pdf, .xlsx, .pptx – เป็นไฟล์เก็บข้อความ เอกสาร หรือสไลด์งาน
  • ไฟล์รูปภาพ (Image) เช่น .jpg (JPEG), .png, .gif, .bmp, .tiff – ใช้เก็บภาพทั่วไป เหมาะสำหรับงานเว็บไซต์หรือการพิมพ์ คุณภาพสูง
  • ไฟล์เสียง (Audio) เช่น .mp3, .wav, .wma, .aac – ใช้เก็บเพลงหรือเสียงพูด ทั้งแบบบีบอัดและไม่บีบอัด
  • ไฟล์วิดีโอ (Video) เช่น .mp4, .avi, .mov, .mkv – เป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง เหมาะสำหรับหนังหรือคลิปวิดีโอ
  • ไฟล์ซอฟต์แวร์ / โปรแกรม (Executable / Program) เช่น .exe, .bat, .com – เป็นไฟล์ที่สามารถสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ทันที
  • ไฟล์บีบอัด (Archive) เช่น .zip, .rar – ไฟล์ที่รวมหลายไฟล์ไว้ในไฟล์เดียวเพื่อประหยัดพื้นที่หรือสะดวกในการจัดการ

โฟลเดอร์ (Folder)

          คือ พื้นที่เสมือนที่ใช้งานในระบบปฏิบัติการเพื่อเก็บไฟล์ และโฟลเดอร์อื่น ๆ ซ้อนกัน ฟังก์ชันหลัก คือ ช่วยจัดระเบียบไฟล์ให้ง่ายต่อการค้นหา เพื่อความเป็นระเบียบและสะดวกในการเรียกใช้

แฟ้มข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ที่ไหน?

          ไฟล์ถูกจัดเก็บโดย ระบบแฟ้ม (File System) ซึ่งเป็นระบบที่ดูแลการเก็บข้อมูลและโครงสร้างไฟล์บนอุปกรณ์บันทึก เช่น ฮาร์ดไดรฟ์หรือแฟลชไดรฟ์ โดยปกติจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ ไดร์ฟ ซี (Drive C:), ไดร์ฟ ดี (Drive D:)

จะดูไฟล์หรือดูข้อมูลที่จัดเก็บไว้ได้อย่างไร?

          บนระบบ Windows เราใช้ File Explorer (หรือ File Manager) เปิดดู จัดการ และค้นหาไฟล์กับโฟลเดอร์ เช่น สร้าง ย้าย ลบ ฯลฯ โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  1. เปิด File Explorer จาก Taskbar หรือกด Windows + E
  2. คลิกที่ This PC
  3. ดับเบิลคลิกไดร์ฟที่ต้องการสำรวจ เช่น C: หรือ D:
  4. ดับเบิคลิกที่โฟลเดอร์ เพื่อเปิดดูไฟล์ข้างใน
  5. กรณีต้องการย้อนกลับคลิกปุ่ม Back

          แฟ้มข้อมูลเปรียบเสมือนสมุดบันทึกที่เก็บเรื่องราวของเราไว้ รูปภาพ เพลง ข้อความ และโปรแกรมคือหน้ากระดาษในสมุดนั้น โฟลเดอร์เป็นชั้นวางหรือกล่องที่จัดเรียงสมุดให้เป็นระเบียบ ระบบแฟ้มทำหน้าที่เป็นห้องสมุดใหญ่ที่จดตำแหน่งของทุกเล่ม และ File Explorer เป็นแผนที่นำทางให้เราไปยังชั้นวางที่ถูกต้อง แค่คลิกเดียวก็เปิดอ่านความทรงจำได้ทันที — รักษาให้เป็นระเบียบและสำรองข้อมูลไว้เสมอ เพื่อให้ความทรงจำดิจิทัลของเราปลอดภัยและใช้งานได้นาน

บทที่ 3 การใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น

          ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การทำงานของเราง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้

ซอฟต์แวร์ประมวลคำ (Word Processing Software)

          เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสร้าง, แก้ไข, และจัดรูปแบบเอกสารข้อความ ทำให้สามารถพิมพ์รายงาน, จดหมาย, หรือหนังสือได้อย่างสะดวกและเป็นระเบียบ ตัวอย่างที่นิยมใช้กันคือ Microsoft Word และ Google Docs

ตัวอย่าง : วิธีการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) มีขั้นตอนดังนี้

  1. การเปิดโปรแกรม : กดที่ปุ่ม Start (รูปโลโก้ Windows) จากนั้นพิมพ์คำว่า “Word” แล้วกด Enter
  2. การสร้างเอกสารใหม่ : เลือก New (สร้างใหม่) หรือ Blank document (เอกสารเปล่า)

3. การพิมพ์และการแก้ไข : พิมพ์ข้อความลงไปในพื้นที่ทำงานได้ทันที สามารถแก้ไขข้อความ, เลือกแบบอักษร, ขนาด, และสีได้

4. การบันทึก : กดที่ปุ่ม File > Save As (บันทึกเป็น) เพื่อเลือกตำแหน่งจัดเก็บและตั้งชื่อไฟล์ กด Enter หรือคลิกปุ่ม บันทึก เพื่อบันทึกงาน

ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)

          เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยสร้างงานนำเสนอให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับใช้ในการบรรยาย, การประชุม หรือการนำเสนอผลงานต่างๆ โดยสามารถใส่ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ, และเสียงประกอบลงในสไลด์ได้ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือ Microsoft PowerPoint และ Google Slides

ตัวอย่าง : วิธีการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ (Microsoft PowerPoint) มีขั้นตอนดังนี้

  1. การเปิดโปรแกรม : กดที่ปุ่ม Start จากนั้นพิมพ์คำว่า “PowerPoint” แล้วกด Enter
  2. การสร้างงานนำเสนอใหม่ : เลือก New (สร้างใหม่) หรือ Blank Presentation (งานนำเสนอเปล่า)

3. การสร้างสไลด์ : เมื่อเปิดโปรแกรม จะมีหน้าสไลด์แรกให้สร้างงาน สามารถเพิ่มสไลด์ใหม่ได้โดยการกดที่ปุ่ม New Slide (สไลด์ใหม่)

4. การใส่เนื้อหา : คลิกที่กล่องข้อความเพื่อพิมพ์หัวข้อหรือเนื้อหา สามารถแทรกรูปภาพ, กราฟ, หรือวิดีโอได้

5. การนำเสนอ : กดปุ่ม F5 หรือเลือก Slide Show (การนำเสนอ) เพื่อแสดงผลงานแบบเต็มจอ

6. การบันทึก : กดที่ปุ่ม File > Save As (บันทึกเป็น) เพื่อเลือกตำแหน่งจัดเก็บและตั้งชื่อไฟล์ กด Enter หรือคลิกปุ่ม บันทึก เพื่อบันทึกงาน

ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน (Spreadsheet Software)

          เป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานกับข้อมูลในรูปแบบตาราง ช่วยให้สามารถคำนวณ, วิเคราะห์, และสรุปข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถสร้างแผนภูมิและกราฟเพื่อแสดงผลข้อมูลได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างที่นิยมใช้คือ Microsoft Excel และ Google Sheets

ตัวอย่าง : วิธีการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กซ์เซล (Microsoft Excel) มีขั้นตอนดังนี้

  1. การเปิดโปรแกรม : กดที่ปุ่ม Start จากนั้นพิมพ์คำว่า “Excel” แล้วกด Enter
  2. การสร้างเวิร์กบุ๊ก : เลือก New (สร้างใหม่) หรือ Blank Workbook (เวิร์กบุ๊กเปล่า)

3. ส่วนประกอบหลัก : พื้นที่ทำงานจะประกอบด้วย เซลล์ (Cell) ที่เรียงกันเป็นแถว (Row) และคอลัมน์ (Column)

4. การป้อนข้อมูล : คลิกที่เซลล์ที่ต้องการ แล้วพิมพ์ข้อมูลลงไป

5. การบันทึก : กดที่ปุ่ม File > Save As (บันทึกเป็น) เพื่อเลือกตำแหน่งจัดเก็บและตั้งชื่อไฟล์ กด Enter หรือคลิกปุ่ม บันทึก เพื่อบันทึกงาน

ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)

          เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสร้างและแก้ไขรูปภาพ รวมถึงงานออกแบบต่างๆ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้มีความสามารถในการปรับแต่งสี, ขนาด, และองค์ประกอบของภาพได้ตามต้องการ ตัวอย่างที่นิยมใช้กันคือ Paint, Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator

ตัวอย่าง : วิธีการใช้โปรแกรมเพ้นท์ (Paint) มีขั้นตอนดังนี้

  1. การเปิดโปรแกรม : กดที่ปุ่ม Start จากนั้นพิมพ์คำว่า “Paint” แล้วกด Enter

2. พื้นที่ทำงานและเครื่องมือ : ในแถบเมนูจะมีเครื่องมือต่าง ๆ ให้เลือกใช้ เช่น ดินสอ, พู่กัน, ยางลบ, และถังสี

3. การวาด : คลิกที่เครื่องมือที่ต้องการ แล้วลากเมาส์บนพื้นที่ทำงานเพื่อสร้างรูปภาพ

4. การบันทึก : กดที่ปุ่ม File > Save As (บันทึกเป็น) เพื่อเลือกตำแหน่งจัดเก็บและตั้งชื่อไฟล์ กด Enter หรือคลิกปุ่ม บันทึก เพื่อบันทึกงาน

          ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันและการทำงานของเราง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตาราง ซอฟต์แวร์นำเสนอ และซอฟต์แวร์กราฟิก ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และสร้างสรรค์มากขึ้น การทำความเข้าใจและเลือกใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงในยุคดิจิทัล

บทที่ 4 STEM คืออะไร?

          STEM เป็นคำย่อมาจาก Science, Technology, Engineering, และ Mathematics หรือในภาษาไทยคือ วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มสาขาวิชาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเรียนรู้แบบ STEM ไม่ได้เน้นเพียงแค่ทฤษฎีในแต่ละวิชาเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถ บูรณาการความรู้หลายสาขาเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงหรือสร้างโครงการที่มีความซับซ้อน

  • Science (วิทยาศาสตร์) – ช่วยให้เข้าใจหลักการและธรรมชาติของสิ่งต่างๆ รอบตัว ผ่านการสังเกต ทดลอง และวิเคราะห์
  • Technology (เทคโนโลยี) – เน้นการประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อสร้างเครื่องมือ ระบบ หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยแก้ปัญหา
  • Engineering (วิศวกรรม) – เป็นการออกแบบและสร้างสิ่งของ โครงสร้าง หรือระบบ โดยใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • Mathematics (คณิตศาสตร์) – เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำการคำนวณ และพัฒนาสมการหรือแบบจำลองต่างๆ

การพัฒนาทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21

          การเรียนรู้แบบ STEM ยังเน้นทักษะเชิงที่ทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมต่อโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักถูกเรียกโดยรวมว่า “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” ทักษะเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความรู้ทางวิชาการ แต่ครอบคลุมถึงความสามารถในการคิดและลงมือปฏิบัติจริง ได้แก่

  • การแก้ปัญหา (Problem-solving) – การศึกษา STEM ฝึกให้ผู้เรียนมองปัญหาจากหลากหลายมุมมองเพื่อหาทางออกที่แตกต่างกัน
  • การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) – กระบวนการเรียนรู้แบบ STEM กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล สามารถประเมินข้อมูลและตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน
  • การทำงานร่วมกัน (Collaboration) – การทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นหัวใจสำคัญของสะเต็มศึกษา ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) – สะเต็มศึกษาไม่ได้จำกัดความคิดของเด็กในกรอบแคบๆ แต่ส่งเสริมการคิดนอกกรอบและนำความคิดสร้างสรรค์ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
  • การสื่อสาร (Communication) – การนำเสนอผลงานและอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนให้ผู้อื่นเข้าใจเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรม STEM ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารทั้งการพูดและการเขียน

        การศึกษาแบบ STEM ซึ่งเป็นการบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์ ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเรียนรู้ตามตำรา แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะสำคัญที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ทั้งในด้านการคิดเชิงวิพากษ์, การทำงานร่วมกัน, การแก้ปัญหา, และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเติบโตเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพและสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสังคมได้

บทที่ 5 การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย

          การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยและการดูแลรักษาอุปกรณ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ มีข้อควรปฏิบัติที่เหมาะสม ดังนี้

  • ระมัดระวังข้อมูลส่วนตัว – ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, หรือรหัสผ่านบนอินเทอร์เน็ตสาธารณะ
  • สร้างรหัสผ่านที่รัดกุม – ควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก โดยผสมระหว่างตัวอักษรพิมพ์ใหญ่-พิมพ์เล็ก, ตัวเลข, และสัญลักษณ์
  • ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส – ติดตั้งโปรแกรม Antivirus และสแกนคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไวรัส, มัลแวร์, และภัยคุกคามอื่น ๆ
  • ระวังอีเมลและลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ – ไม่ควรเปิดไฟล์แนบหรือคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เพราะอาจเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาโจมตีระบบได้
  • สำรองข้อมูลเป็นประจำ – ควรสำรองข้อมูลสำคัญไว้ในอุปกรณ์ภายนอกหรือระบบคลาวด์ เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ข้อปฏิบัติในการใช้งานและดูแลรักษาคอมพิวเตอร์
  • ดูแลรักษาฮาร์ดแวร์ให้สะอาด : หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หน้าจอ, คีย์บอร์ด, และเมาส์ เพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้การทำงานมีปัญหา
  • จัดการซอฟต์แวร์อย่างเหมาะสม : ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานออกจากเครื่อง เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างและทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น
  • ปิดเครื่องอย่างถูกต้อง : ควรปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านขั้นตอนปกติ (Shut Down) ไม่ควรถอดปลั๊กออกทันที เพราะอาจทำให้ข้อมูลเสียหายได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานในที่อุณหภูมิสูง : ไม่ควรวางคอมพิวเตอร์ไว้ในบริเวณที่โดนแดดจัดหรืออากาศร้อนจัด เพราะความร้อนจะทำให้อุปกรณ์ภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ปิดเครื่องเมื่อไม่ได้ใช้งานนาน : หากไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรปิดเครื่องเพื่อประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งานโดยรวม
  • หลีกเลี่ยงนำน้ำหรืออาหารเข้าใกล้ : เพื่อป้องกันความเสียหายจากของเหลวหรือเศษอาหาร และเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าภายในอุปกรณ์
การจัดท่านั่งที่เหมาะสม
  • เก้าอี้ : ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับแผ่นหลังได้เต็มที่ และปรับระดับความสูงให้เท้าสามารถวางราบกับพื้นได้
  • หน้าจอ : ควรจัดให้หน้าจออยู่ห่างจากสายตาประมาณ 1.5 – 2 ฟุต (ประมาณหนึ่งช่วงแขน) และให้อยู่ในระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อลดอาการปวดคอ
  • คีย์บอร์ดและเมาส์ : ควรจัดวางในระดับความสูงที่ข้อศอกทำมุม 90 องศา และข้อมืออยู่ในแนวตรง เพื่อป้องกันอาการปวดข้อมือ
การดูแลสุขภาพและสายตา
  • พักสายตา : ควรพักสายตาจากหน้าจอทุก ๆ 20 นาที โดยมองไปที่วัตถุไกล ๆ ประมาณ 20 วินาที เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตา
  • ลุกเดินยืดเส้น : ไม่ควรนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกิน 1 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปรับแสงสว่าง : ควรปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และติดตั้งไฟให้แสงสว่างเพียงพอในบริเวณที่ทำงาน

          การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัย ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่นับวันยิ่งซับซ้อนขึ้น แต่ยังช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาอุปกรณ์ดิจิทัลได้อย่างถูกวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งานและคงประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยตรง ทั้งในเรื่องการถนอมสายตาและการป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้งานในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน

บทที่ 6 การแก้ปัญหาอย่างง่าย

ปัญหา คืออะไร?

          ปัญหา คือ สถานการณ์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น และทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ หรือเป็นสิ่งที่ต้องการการแก้ไขเพื่อกลับสู่สภาวะปกติ ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ เช่น ปัญหาในการทำงาน, ปัญหาทางเทคนิค, หรือปัญหาในชีวิตประจำวัน ซึ่งแต่ละปัญหาอาจมีความซับซ้อนที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนการแก้ปัญหา

          การแก้ปัญหาอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพมักจะประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ดังนี้

  1. ระบุปัญหา : ทำความเข้าใจและนิยามปัญหาให้ชัดเจนว่าคืออะไร เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และส่งผลกระทบอย่างไร
  2. รวบรวมข้อมูล : ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
  3. ค้นหาวิธีแก้ไข : ระดมสมองเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือก และเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
  4. ลงมือแก้ไข : ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
  5. ประเมินผล : ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าการแก้ไขนั้นได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่สำเร็จ อาจต้องย้อนกลับไปทำขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งอีกครั้ง
วิธีการแก้ปัญหาอย่างง่าย

          สำหรับปัญหาที่ไม่ซับซ้อนมากนัก สามารถใช้วิธีการแก้ปัญหาอย่างง่ายได้ ดังนี้

  1. การลองผิดลองถูก : ทดลองหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ วิธี จนกว่าจะประสบความสำเร็จ เหมาะสำหรับปัญหาที่ยังไม่ทราบถึงวิธีแก้ที่แน่ชัด
  2. ค่อย ๆ แก้ทีละจุด : ไม่ควรรีบแก้ไขหลายอย่างพร้อมกัน เพราะจะทำให้สับสนและไม่รู้ว่าวิธีไหนที่ใช้ได้ผล
  3. ขอความช่วยเหลือ : หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้รู้หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  4. ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ : พิจารณาว่ามีเครื่องมือหรือฟังก์ชันใดในอุปกรณ์ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

          ความสามารถในการเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาถือเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ได้อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณ แต่ยังต้องใช้กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การทำความเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้, การรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สาเหตุ, การระดมสมองเพื่อสร้างสรรค์ทางเลือกที่หลากหลาย, ไปจนถึงการลงมือทำและประเมินผลอย่างรอบคอบ แต่ในบางครั้ง ปัญหาที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนักก็สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีที่ง่ายกว่า เช่น การลองผิดลองถูกหรือการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการผสมผสานวิธีการเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับทุกปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

บทที่ 7 การแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน

          การแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน เป็นวิธีการสื่อสารที่ช่วยให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้งานเข้าใจลำดับการทำงานได้อย่างเป็นระบบและชัดเจน โดยสามารถนำเสนอได้หลายรูปแบบ ดังนี้

การแสดงลำดับขั้นตอนด้วยข้อความ

          เป็นวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมากที่สุด โดยการใช้ภาษาเขียนเพื่ออธิบายขั้นตอนการทำงานทีละขั้นตอนตามลำดับ มักใช้ในคู่มือการใช้งาน, รายงาน, หรือบทความต่าง ๆ

ตัวอย่าง :    ขั้นตอนการปลูกต้นไม้

  1. เตรียมเมล็ดพันธุ์
  2. พรวนดิน
  3. ลงเมล็ดและกลบด้วยดิน
  4. รดน้ำต้นไม้ทุกวัน
การแสดงลำดับขั้นตอนด้วยรูปภาพ

          เป็นการใช้รูปภาพหรือภาพถ่ายเพื่อแสดงขั้นตอนการทำงานแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด เหมาะสำหรับขั้นตอนที่ต้องมีการลงมือทำจริง ๆ หรือต้องการให้ผู้ใช้เห็นภาพชัดเจน เช่น คู่มือประกอบเฟอร์นิเจอร์ หรือสูตรการทำอาหาร

ตัวอย่าง : ใช้ภาพถ่ายแต่ละขั้นตอนในการประกอบขั้นตอนการปลูกต้นไม้ อาจใช้ลูกศรทิศทางหรือหมายเลขกำกับกระกอบกับรูปภาพ

การแสดงลำดับขั้นตอนด้วยสัญลักษณ์

          เป็นวิธีที่ใช้สัญลักษณ์มาตรฐานเพื่อแสดงลำดับการทำงานและทิศทางการไหลของข้อมูลอย่างเป็นระบบ นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรม, การวางแผนงาน, หรือการวิเคราะห์ระบบ ผังงาน (Flowchart) จะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของกระบวนการทั้งหมด รวมถึงจุดตัดสินใจและทางเลือกต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ตัวอย่าง :

  • วงรี (Oval) – ใช้แทนจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการ
  • สี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle) – ใช้แทนการประมวลผลหรือการกระทำ
  • สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด (Diamond) – ใช้แทนจุดตัดสินใจที่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
  • ลูกศร (Arrow) – ใช้แสดงทิศทางของข้อมูลและการทำงาน

        ในกระบวนการทำงานหรือการสื่อสาร การนำเสนอขั้นตอนอย่างเป็นระบบถือเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ข้อความ เพื่ออธิบายอย่างตรงไปตรงมา, การใช้ รูปภาพ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน, หรือการใช้ สัญลักษณ์ อย่างผังงานเพื่อแสดงภาพรวมของกระบวนการที่ซับซ้อน การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับบริบทนั้นจะช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจได้ง่ายและสามารถทำตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกการทำงานในทุกวันนี้

บทที่ 8 เรียนรู้การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย

ด้วยเว็บไซต์ Code.org

          การเขียนโปรแกรม คือ กระบวนการสร้างชุดคำสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ โดยอาศัยหลักการทางตรรกะและโครงสร้างภาษาที่กำหนดไว้

หลักการเขียนโปรแกรม

          หลักการสำคัญของการเขียนโปรแกรมคือการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เพื่อให้สามารถออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย

  1. การวิเคราะห์ปัญหา – ทำความเข้าใจปัญหาที่ต้องการแก้ไข และกำหนดว่าโปรแกรมต้องทำอะไรบ้าง
  2. การออกแบบโปรแกรม – วางแผนลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม โดยอาจใช้ผังงาน (Flowchart) หรือรหัสจำลอง (Pseudocode)
  3. การเขียนโปรแกรม – แปลงขั้นตอนที่ออกแบบไว้ให้เป็นชุดคำสั่งด้วยภาษาโปรแกรม
  4. การทดสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด – ตรวจสอบว่าโปรแกรมทำงานได้ถูกต้องตามที่ต้องการหรือไม่ และแก้ไขข้อผิดพลาด (Bug) ที่พบ
ซอฟต์แวร์หรือสื่อที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม
  • บัตรคำสั่ง (Program Card) – เครื่องมือแบบเดิมที่ใช้เขียนคำสั่งเป็นบัตรกระดาษ เช่น ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า
  • ซอฟต์แวร์เขียนโปรแกรม (IDE/เว็บไซต์) – ปัจจุบันนิยมใช้หน้าต่างโค้ด เช่น Code.org, Scratch, VS Code ฯลฯ ซึ่งช่วยให้เขียนและทดลองโค้ดได้ทันที
การเขียนโปรแกรมด้วยเว็บไซต์ Code.org

          Code.org เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้ผู้เริ่มต้นเรียนรู้การเขียนโปรแกรมได้อย่างง่ายดายผ่านการใช้บล็อกคำสั่ง (Block-based programming) ที่มีสีสันสวยงามและเป็นมิตรกับผู้ใช้

ขั้นตอนการใช้งาน Code.org

  1. เข้าสู่เว็บไซต์ – ไปที่เว็บไซต์ Code.org
  2. เลือกหลักสูตร – เลือกหลักสูตรที่สนใจตามระดับอายุและความยากง่าย
  3. ทำกิจกรรม – ลากบล็อกคำสั่งต่าง ๆ มาเรียงต่อกันเพื่อสร้างชุดคำสั่ง

ส่วนประกอบต่าง ๆ ของ Code.org

  1. พื้นที่ทำงาน – เป็นพื้นที่ว่างสำหรับวางบล็อกคำสั่ง
  2. ชุดคำสั่งบล็อก – บล็อกคำสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการควบคุมตัวละครหรือวัตถุในเกม
  3. พื้นที่แสดงผล – แสดงผลการทำงานของโค้ดที่เราเขียนขึ้น

การประยุกต์ใช้คำสั่งสร้างเกม
          ผู้ใช้สามารถเรียนรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรมได้จากกิจกรรมใน Code.org เช่น การสร้างเกมง่าย ๆ โดยใช้คำสั่งต่าง ๆ เช่น

  • คำสั่งเคลื่อนที่ – สั่งให้ตัวละครเดินไปข้างหน้า, ถอยหลัง, เลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา
  • คำสั่งทำซ้ำ (Loop) – สั่งให้ตัวละครทำพฤติกรรมเดิมซ้ำ ๆ เพื่อลดจำนวนบล็อกคำสั่ง
  • คำสั่งเงื่อนไข (Conditional) – สั่งให้ตัวละครตัดสินใจทำพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ถ้าเจออุปสรรคให้กระโดดข้าม

          การเขียนโปรแกรมคือการแปลงความคิดเป็นชุดคำสั่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์ ออกแบบ เขียน และทดสอบ โดยยึดหลักการที่ชัดเจนและเรียบง่ายเพื่อให้โค้ดทำงานได้ถูกต้อง แพลตฟอร์มอย่าง Code.org ใช้บล็อกคำสั่งช่วยให้ผู้เริ่มต้นเรียนรู้พื้นฐาน (เช่น การเคลื่อนที่ ลูป และเงื่อนไข) แล้วนำไปประยุกต์สร้างเกมหรือโปรเจกต์เล็ก ๆ ได้จริง การฝึกปฏิบัติและแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทักษะนี้เติบโตและนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ